ประวัติตำบลแม่นาเรือ
ประวัติศาสตร์ตำบลแม่นาเรือ
ตำบลแม่นาเรือมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 900 ปี ปรากฏจากตำนานวัดพระธาตุภูขวาง พ.ศ. 1639
พ่อขุนจอมธรรมได้รับแบ่งราชสมบัติจากพ่อขุนเงินยางผู้เป็นราชบิดากษัตริย์แห่งนครเงินยางเชียงแสน
ให้มาครอบครองเมืองภูกามยาวซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้
เมืองภูกามยาวเป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่งมีชื่อเดิมว่าเมือง “สีหราช”
เมื่อพ่อขุนจอมธรรมพร้อมด้วยข้าราชบริวาร ได้สร้างปรับปรุง เมืองใหม่
จึงได้สร้างพระธาตุไว้เป็นแจ่งเมืองทั้งสี่ทิศวัดพระธาตุภูขวาง เป็นทิศตะวันตกเฉียงใตของเมืองปัจจุบัน
อยู่ในพื้นที่บ้าน บ้านสันป่าสัก หมู่ 6 ตำบลแม่นาเรือ
![]() |
![]() |
พระประธานวัดพระธาตุภูขวาง
นอกจากตำนานวัดพระธาตุภูขวางแล้วในพุทธศตวรรษที่ 21
ยังมีหลักฐานสำคัญที่ปรากฏตามหลักศิลาจามืองรึกเมืองพะเยา ซึ่งพระคุณเจ้าพระธรรมวิมลโมลี
ได้เก็บรวมรวมไว้ที่วัดพระเจ้าตนหลวง และจัดจัดพิมพ์ตามหนังสือประชุมจารึกเมืองพะเยา
โดยมีจารึกที่ข้นพบในเขตพื้นที่ตำบลแม่นาเรืออยู่หนึ่งหลัก
ระบุว่าเป็นจารึกวัดนางหมื่น (สมัยพระยายอดเชียงราย) เป็นกษัตริย์อาณาจักรล้านนา
และเจ้าหมื่นจุฬาปกครองเมืองพะเยา ปัจจุบันจารึกนี้ได้ถูกเก็บรักษาและแสดงไว้
ณ หอวัฒนธรรมนิทัศน์ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
และประกอบกับการสอบถามพ่ออุ้ยแก้วมา ใจบุญ
ผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลแม่นาเรือที่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติตำบลแม่นาเรือ
ได้บอกว่าครั้งหนึ่งเคยมีซากเจดีย์ใหญ่ทรงระฆังคว่ำบริเวณด้านหลังของวัดโบสถ
ซึ่งเป็นวัดเดิมของบ้านแม่นาเรือ ก่อนที่จะย้ายมาตั้งอยู่กลางชุมชนที่หมู่ 10
ต่อมาสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีนายยศไม่ทราบนามสกุล เป็นทหารจากปราจีนบุรี
มาตั้งค่ายอยู่ที่บริเวณโรงพยาบาลร่องห้า หรือโรงพยาบาลพะเยาในปัจจุบัน
ได้มาอยู่กินแต่งานกับคนแม่นาเรือ แล้วได้ลักลอบขุดได้ของมีค่าและพระพุทธรูป
ขนาดหน้าตักประมาณ 3นิ้ว 1 องค์ และต่อมานายยศ ได้นำพระที่ขุดได้
นำไปมอบให้กับเจ้าอาวาสวัดแม่นาเรือและเรียกพระองค์นี้ว่า พระฝนแสนห่า
ต่อมาชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณด้านหลังวัดโบสถได้ให้รถเกรดปรับดิน
ให้เป็นที่นาแล้วก็พบหลักศิลาจารึกดังกล่าวโดยบังเอิญ จึงนำมาไว้ที่หน้าวัดโบสถ
และต่อมาได้มีคนนำศิลาจารึกดังกล่าวไปไว้ที่วัดพระเจ้าตนหลวง
จากหลักฐานดังกล่าวจึงทำให้ทีมงานรู้ว่าบริเวณวัดโบสถเดิมได้เคยเป็นที่ตั้งของวัดนางหมื่น
และน่าจะมีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณนั้นถึง 200 ตารางเมตร
จากการสังเกตซากเจดีย์เก่าแก่ที่เหลืออยู่บริเวณห่างออกจากวัดโบสถ
ไปทางทิศตะวันออกไปประมาณ 250 เมตร ตรงกลางมีเนินดินสูงซึ่งปัจจุบันยังพอสังเกตเห็นได้
ซึ่งบริเวณเนินดินสูงน่าจะเป็นวิหารเดิมและเป็นจุดศูนย์กลางของวัด
และบริเวณวัดโบสถน่าจะเป็นบริเวณด้านหลังวัดนางหมื่น
เดิมมีร่องน้ำไหลจากดอยหม่อนโป่งหินมาจนถึงบริเวณด้านขางวัดโบสถทางทิศตะวันตก
ปัจจุบันชาวบ้านได้ถมร่องน้ำดังกล่าวเป็นถนนสัญจรไปสู่พื้นที่การเกษตร
วัดโบสถ
ภาพบริเวณโดยรอบโบสถ มีหินเสมาโบราณโดยรอบ
ภายในโบสถประดิษฐสถานพระพุทธรูป สามกษัตริย์ หินทรายศิลปพะเยา อายุราว 500 ปี
ปี 2559 ศรัทธาวัดแม่นาเรือได้ทำการบูรณะวัดโบสถใหม่
พร้อมทั้งมีการทำสีหุุ้มองค์พระพุทธรูปทั้งสามองค์ไว้
ด้านฐานของพระทุทธรูปได้มีจารึก ชื่อของพระพุทธรูป เป็นอักษรฝักขาม
![]() |
พระพุทธรูปโบราณ (พระฝนแสนห่า)
จากการสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่แล้วทีมงาน อบต.แม่นาเรือ ได้ออกสำรวจโบราณสถาน
เป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าบริเวณ ตำบลแม่นาเรือเป็นที่ชุมชนขนาดใหญ่
ดังเดิมที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นสังเกตได้จากพื้นที่ในตำบลแม่นาเรือ
มีดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ และลำหวยหลายสายที่ไหลผ่าน และจากการที่มีวัดร้าง
กระจัดกระจายในพื้นที่ตำบลแม่นาเรือเป็นจำนวนมาก
และยังเห็นซากปรักหักพังที่ยังหลงเหลืออยู่ 5 แห่ง ได้แก่
1. วัดทุ่งเจดีย์ | (บริเวณ ทุ่งนาเรียกว่าทุ่งเจดีย์ หมู่ 5 ยังเห็นเป็นซากวัด เจดีย์ กำแพง ได้อย่างชัดเจน) |
2. บริเวณหม่อนโป่งหินหมู่ 11 | |
3. บริเวณกลางทุ่งนาบ้านสันขี้เหล็ก หมู่ 1 | |
4. บริเวณทุ่งกู่ | (ทุ่งนาด้านหลังอบต.แม่นาเรือ ห่างจากวัดโบสถประมาณ 200 เมตร น่าจะเป็นบริเวณสถานที่เดียวกันกับที่พบ หลักศิลาจากรึก ของพระยายอดเชียงรายที่กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้น จึงแสดงว่าบริเวณนี้เดิมเคยเป็นที่ตั้งของวัดนางหมื่นชื่อตามศิลาจารึก) |
5. บริเวณทุ่งกู่บ้านโซ้ | พบซากเจดีย์ และพระหินที่ชำรุดเสียหาย ปรากฏหลักฐาน เครื่องปันดินเผาที่แตกหักกระจัดกระจาย โดยทั่ว สัญนิษฐานว่าจะเป็นเครื่องเคลือบสังคะโลกเก่าแก่ อันเป็นศิลปะของกรุงสุโขทัย แบบเดียวกับที่คนพบแหล่งเตาเผาโบราณ ที่ตำบลแม่กา |
++++++++++++++++++
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
++++++++++++++++++
ศิลาจากรึกวัดนางหมื่นปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดพระเจ้าตนหลวง
ส่วนข้อมูลจารึกขียนได้สืบค้นมาจากเว็บไซต์ฐานข้อมูล จากรึกในประเทศไทย
ชื่อจารึก | จารึกวัดนางหมื่น |
---|---|
อักษรที่มีในจารึก | ฝักขาม |
ศักราช | พุทธศักราช 2036 |
ภาษา | ไทย |
ด้าน/บรรทัด | จำนวนด้าน 2 ด้าน มี 34 บรรทัด ด้านที่ 1 มี 20 บรรทัด ด้านที่ 2 มี 14 บรรทัด |
วัตถุจารึก | หินทรายสีเทา |
ลักษณะวัตถุ | หลักสี่เหลี่ยมปลายมน |
ขนาดวัตถุ | กว้าง 32 ซม. สูง 156 ซม. หนา 25 ซม. |
บัญชี/ทะเบียนวัตถุ | 1) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น “พย. 6” 2) ในวารสาร ศิลปากร ปีที่ 17 ฉบับที่ 4 (พฤศจิกายน 2516) กำหนดเป็น “ศิลาจารึกอักษรไทยฝักขาม ภาษาไทย” 3) ในหนังสือ จารึกล้านนา ภาค 1 เล่ม 1 กำหนดเป็น “พย. 6 จารึกวัดนางหมื่น พ.ศ. 2036” 4) ในหนังสือ ประชุมจารึกเมืองพะเยา กำหนดเป็น “พย. 6 จารึกพระเป็นเจ้าเมืองเชียงราย” |
ปีที่พบจารึก | ไม่ปรากฏหลักฐาน |
สถานที่พบ | วัดร้าง ตำบลแม่นาเรือ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา |
ผู้พบ | ไม่ปรากฏหลักฐาน |
ปัจจุบันอยู่ที่ | วัดศรีโคมคำ ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา |
พิมพ์เผยแพร่ | 1) วารสารศิลปากร ปีที่ 17 ฉบับที่ 4 (พฤศจิกายน 2516) : 105-110 2) จารึกล้านนา ภาค 1 เล่ม 1 (กรุงเทพฯ : มูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิ้ลยู ทอมป์สัน,2534), 111-113 3) ประชุมจารึกเมืองพะเยา (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2538), 134-139 |
เนื้อหาโดยสังเขป | พ.ศ. 2036 เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าหมื่นจุลาพยาว และเจ้าพันพ่อน้อยได้ให้คนมาฝังจารึกไว้ที่วัดนางหมื่น เพื่อประกาศรายชื่อข้าพระที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพระสงฆ์และวัด |
ผู้สร้าง | เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าหมื่นจุลาพยาว และเจ้าพันพ่อน้อย |
การกำหนดอายุ | ข้อความจารึกด้านที่ 1 บรรทัดที่ 1 ระบุ จ.ศ. 855 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2036 อันเป็นสมัยที่พระเจ้ายอดเชียงรายปกครองเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. 2030-2038) |
ข้อมูลอ้างอิง | เรียบเรียงข้อมูลโดย : นวพรรณ ภัทรมูล, โครงการฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศมส., 2559, จาก : 1) ประสาร บุญประคอง, “คำอ่านศิลาจารึกอักษรไทยฝักขาม ภาษาไทย ได้มาจากบ้านแม่นาเรือ ต. แม่นาเรือ อ. พะเยา จ. เชียงราย,” ศิลปากร 17, 4 (พฤศจิกายน 2516) : 105-110 2) กรรณิการ์ วิมลเกษม, อักษรฝักขามที่พบในศิลาจารึกภาคเหนือ (กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2526), 10 3) โครงการวิจัยการปริวรรตและชำระจารึกล้านนา, “พย. 6 จารึกวัดนางหมื่น พ.ศ. 2036,” ใน จารึกล้านนา ภาค 1 เล่ม 1 : จารึกจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่ (กรุงเทพฯ : มูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิ้ลยู ทอมป์สัน, 2534), 111-113 4) ประสาร บุญประคอง, “พย. 6 จารึกพระเป็นเจ้าเมืองเชียงราย,” ใน ประชุมจารึกเมืองพะเยา (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2538), 134-139 |
ภาพประกอบ | ภาพสำเนาจารึกจาก : ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2545 (เลขทะเบียน CD; INS-TH-24, ไฟล์; PY 6 side 1+.copy 1 และ PY 6 side 2.copy 1) |
คำแปลด้านที่ 1 คำแปลด้านที่ 2
พุทธศตวรรษที่ 22-23 พระเจ้าบุเรงนองขึ้นมาเป็นใหญ่ในหงสาวดี
ได้แผ่ขยายอำนาจทั่วอาณาจักรล้านนาและกรุงศรีอยุธยา
ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่เมืองพะเยาและพื้นที่ในบริเวณนี้
ต่างพากันหนีสงครามทิ้งบ้านเรือนและวัดวาอารามจำนวนมาก
ทำให้เมืองรกร้างไปพุทธศตวรรษที่ 24 รัชสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี
มีบ้านเรือนอาศัยอยู่แถบเชิงเขาเป็นเชื้อสายชาวพะเยา มีอาชีพทำไร่ ทำสวน ทำนา
ต่อมาได้มีชาวฝางเดินทางมาค้าขาย โดยใช้วัวเป็นพาหนะและไม่ได้กลับภูมิลำเนาเดิม
ปักหลักฐานอาศัยอยู่กันเป็นหมู่บ้าน ต่อมาอีก 3 ปี ชาวเมืองลำปาง
ชาวเมืองน่าน ชาวเมืองแพร่ อพยพมาอยู่ร่วมกัน เกิดเป็นหมู่บ้านใหญ่เรียกชื่อหมู่บ้านว่า
“บ้านศรีเมืองชุม” โดยให้ชาวฝางเป็นผู้นำหมู่บ้าน และมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าทุกครั้ง
ในช่วงฤดูน้ำหลากได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด
“เสียงคนร้องไห้โหยหวนต่อจากนั้นมีเรือผีร่องตามน้ำห้วยแม่นาเรือตามมา”
สร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่สองฝั่งลำห้วยเป็นจำนวนมาก
พุทธศตวรรษที่ 25 บ้านศรีเมืองชุม ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “บ้านแม่นาเฮือ”
สาเหตุเกิดจากสภาพของนา ที่เป็นนาร้างคนโบราณเรียกว่า นาเฮี้ย
เมื่อพูดไปนานๆ ก็เพี้ยนเป็น นาเฮือ ประกอบกับชาวบ้านสันช้างหินได้ขึ้นมาตัดไม้
เพื่อที่จะทำเป็นเรือใช้ในการประมง ต่อมามีผู้รู้ภาษาไทยขนานนามใหม่สอดคล้องกับ
พื้นที่หมู่บ้านที่มีแม่น้ำไหลผ่านใหม่ว่า “บ้านแม่นาเรือ” ต่อมาได้ขยายหมู่บ้านไปทำไร่ไถนา
เลี้ยงสัตว์ เกิดเป็นหลายหมู่บ้านเช่น บ้านไร่ บ้านร่องคำ บ้านร่องคำหลวง
บ้านโซ้ บ้านสันป่าสัก รวมกันหลายหมู่บ้านเรียกว่า “ตำบลแม่นาเรือ” จนถึงปัจจุบัน